ของกินสมัยโบราณ 10 เมนูน่ารับประทาน

ของกินสมัยโบราณ

ของกินสมัยโบราณ อาหารการกินของคนไทยในสมัยโบราณนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในแต่ละท้องถิ่น โดยอาหารหลักของคนไทยในสมัยโบราณ ได้แก่ ข้าว ปลา ผัก และผลไม้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นนั้น ๆ ในสมัยสุโขทัย ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย โดยปลูกข้าวเจ้าและข้าวเหนียว ปลาเป็นอาหารโปรตีนที่สำคัญ โดยจับปลาได้จากแม่น้ำลำคลองและทะเล ผักเป็นอาหารเสริมธาตุอาหาร โดยปลูกผักตามฤดูกาล ผลไม้เป็นอาหารหวานและวิตามิน โดยปลูกผลไม้ตามฤดูกาลเช่นกัน ในสมัยอยุธยา อาหารการกินมีความหลากหลายมากขึ้น 

โดยรับอิทธิพลจากอาหารจีนและอาหารอินเดียเข้ามาผสมผสาน ของกินสมัยโบราณ และในสมัยนี้จึงมีรสชาติที่เข้มข้นขึ้น อาหารหลักยังคงเป็นข้าว ปลา ผัก และผลไม้ เช่นเดียวกับสมัยสุโขทัย แต่มีอาหารประเภทอื่น ๆ เพิ่มขึ้น เช่น แกง ต้ม ผัด ทอด ขนมหวาน และของว่าง ในสมัยรัตนโกสินทร์ อาหารการกินมีความหลากหลายมากขึ้นอีก โดยรับอิทธิพลจากอาหารตะวันตกเข้ามาผสมผสาน อาหารไทยในสมัยนี้จึงมีรสชาติที่กลมกล่อมขึ้น อาหารหลักยังคงเป็นข้าว ปลา ผัก และผลไม้ เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา แต่มีอาหารประเภทอื่น ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย เช่น แกง ต้ม ผัด ทอด ขนมหวาน และของว่าง เรามาดูกันดีกว่าว่ามีเมนู ของกินสมัยโบราณ มีอะไรกันบ้างเลยดีกว่า

ม้าฮ่อ

ของกินสมัยโบราณ

ม้าฮ่อ หรือ ม้าห้อ เป็น ของกินสมัยโบราณ ชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นไส้รสหวานเค็มรสชาติคล้ายไส้สาคูจับกับผลไม้รสเปรี้ยวจัด โดยมากเป็นสับปะรด หากไม่มีสับปะรดก็ใช้ผลส้มเขียวหวานแทนได้ แต่จะเรียกว่า มังกรคาบแก้ว นอกจากนี้ยังมีการใช้มะยงชิดหรือกีวีที่มีรสชาติเปรี้ยวได้ ม้าฮ่อมีต้นกำเนิดมาจากชาวมอญที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยในสมัยอยุธยา โดยเชื่อว่าชาวมอญนำม้าฮ่อมาถวายพระเจ้าแผ่นดินในสมัยนั้น ต่อมาม้าฮ่อก็ได้แพร่หลายไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย และมักนิยมทำรับประทานในงานบุญหรือพิธีกรรมสำคัญต่างๆ ส่วนผสมของม้าฮ่อประกอบด้วย ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น สับปะรด มะยงชิด กีวี ฯลฯ และไส้รสหวานเค็มที่ทำจากหมูสับ น้ำตาลปี๊บ ถั่วลิสงคั่ว กระเทียม รากผักชี พริกไทย และน้ำปลา

แกงระแวงเนื้อ

ของกินสมัยโบราณ

แกงระแวงเนื้อ เป็น เมนูแกงไทยโบราณ ประเภทแกงกะทิที่มีรสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นเครื่องเทศ ลักษณะคล้ายแกงเขียวหวาน แต่มีสีเหลืองทองมากกว่า เนื่องจากมีส่วนผสมของขมิ้นสดและตะไคร้ แกงระแวงต้นตำรับจะใช้เนื้อวัวเป็นส่วนประกอบ แต่ในปัจจุบันสามารถใส่เนื้อสัตว์อื่น ๆ แทนได้ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เป็นต้น แกงระแวงเป็นอาหารไทยโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยทวารวดี บ้างก็ว่าได้รับอิทธิพลมาจากอินโดนีเซีย (ชวา) โดยผ่านทางภาคใต้ของไทย บ้างก็ว่าแกงระแวงน่าจะมาจากแกงเผ็ดเนื้อวัวของชวา ที่เรียกว่า เรินดัง และสันนิษฐานว่าแกงชนิดนี้จะเข้าสู่เมืองไทยเมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสชวา แกงระแวงเป็นเมนูอาหารไทยที่หากินได้ยากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นอาหารโบราณที่ไม่ค่อยได้รับความนิยม ในปัจจุบันมีร้านอาหารไทยบางแห่งที่ยังคงให้บริการแกงระแวง แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก

หมี่กรอบส้มซ่า

ของกินสมัยโบราณ

หมี่กรอบส้มซ่า เป็น เมนูอาหารไทยโบราณ ที่มีมานานกว่าร้อยปี สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเป็นการผสมผสานอาหารสองสัญชาติระหว่างไทยกับจีน ผ่านวัตถุดิบปรุงรสที่มีมาแต่อดีต อาทิ น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก น้ำมะนาว และส้มซ่า ที่นำมาใช้ทั้งน้ำปรุงและเปลือกที่นำมาหั่นฝอยแล้วโรยหน้าหมี่กรอบ เพื่อให้ได้กลิ่นหอมสดชื่นยามที่ทานเข้าไป หมี่กรอบส้มซ่า อาหารร่วมสมัย มีลักษณะเป็นเส้นหมี่เหลืองกรอบ ปรุงรสด้วยน้ำซอสที่มีรสหวานเปรี้ยว เค็ม หอมกลิ่นส้มซ่า โรยหน้าด้วยกุ้งแห้ง ถั่วลิสง และผักสดต่างๆ เช่น ถั่วงอก ใบกุยช่าย เป็นต้น

หมูสร่ง

ของกินสมัยโบราณ

หมูสร่ง เป็น อาหารว่างไทยโบราณ มีลักษณะเป็นหมูบดละเอียดที่นำมาผสมเครื่องปรุงรสแล้วปั้นเป็นก้อนกลม จากนั้นก็ทำการนุ่งโสร่งด้วยการพันด้วยเส้นหมี่ซั่ว จนออกมาหน้าตาคล้ายกับลูกตระกร้อ แล้วก็นำไปทอดจนเหลืองกรอบ ส่งกลิ่นหอมน่าทาน หมูสร่ง ของทอดโบราณ มีต้นกำเนิดมาจากสมัยอยุธยา เดิมทีเป็นอาหารที่ทำจากเนื้อไก่ แต่ต่อมานิยมใช้เนื้อหมูแทน เนื่องจากเนื้อหมูหาได้ง่ายและราคาถูกกว่า เส้นหมี่ซั่วที่ใช้ก็เป็นเส้นหมี่จีนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ หมูสร่งจึงถือเป็นอาหารว่างที่มีอิทธิพลจากวัฒนธรรมต่างชาติ ในปัจจุบัน หมูสร่งเป็นอาหารหาทานยาก เนื่องจากเป็นเมนูที่ค่อนข้างใช้เวลาในการทำและต้องใช้ความชำนาญในการห่อหมูด้วยเส้นหมี่ซั่วให้สวยงาม อย่างไรก็ตาม หมูสร่งยังคงเป็นเมนูยอดนิยมในหมู่คนรักอาหารไทยโบราณ เพราะมีรสชาติอร่อยและหน้าตาสวยงาม

แกงรัญจวน

ของกินสมัยโบราณ

แกงรัญจวน เป็นอาหาร แกงไทยโบราณ ที่มีส่วนผสมหลักคือน้ำพริกกะปิและเนื้อสัตว์ โดยสูตรดั้งเดิมนิยมใช้เนื้อวัวติดเอ็น เคี่ยวกับสมุนไพรอย่างตะไคร้ หอมแดง ใบมะกรูด ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลมะพร้าว และน้ำมะนาว ใส่ใบโหระพาลงไป ตามด้วยพริกชี้ฟ้าแดงแต่งชาม แกงรัญจวน ของกินสมัยโบราณ ที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มีบันทึกว่า หม่อมหลวงเนื่อง นิลรัตน์ ได้ปรุงแกงรัญจวนขึ้นเป็นครั้งแรก โดยการนำน้ำพริกกะปิที่เหลือจากการรับประทานมาปรุงเป็นแกงใหม่ แกงรัญจวนจึงมีรสชาติที่เข้มข้น หอมเครื่องกะปิและสมุนไพร เปรียบเสมือนกลิ่นกายของคนรักที่รัญจวนใจ ในปัจจุบันแกงรัญจวนยังคงเป็นอาหารไทยที่ได้รับความนิยมอยู่ โดยสามารถหารับประทานได้ตามร้านอาหารทั่วไปหรือทำรับประทานเองที่บ้าน มีการประยุกต์ใช้เนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ ในการทำแกงรัญจวน เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ หรือเนื้อปลา

แกงเหลืองต้นคูน

ของกินสมัยโบราณ

แกงเหลืองต้นคูน เป็น แกงโบราณ ชนิดหนึ่งที่ทำจากต้นคูน ซึ่งเป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่งที่มีลำต้นและใบสีเขียวสด ต้นคูนมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เช่น คูน (ภาคกลาง), ตูน (ภาคเหนือ), คูน (ภาคอีสาน), เอาะดิบ ออกดิบ (ภาคใต้), ออดิบ (ยะลา นครศรีธรรมราช ภาคใต้), กระดาดขาว (กาญจนบุรี), บอน (ประจวบคีรีขันธ์),กะเอาะขาว(ชุมพร) แกงเหลืองต้นคูน อาหารไทยพื้นบ้าน มีต้นกำเนิดมาจากภาคใต้ของประเทศไทย โดยเป็นอาหารพื้นบ้านของชาวปักษ์ใต้มาช้านาน แกงชนิดนี้นิยมใส่เนื้อปลากะพงหรือปลาทูเป็นส่วนผสมหลัก ต้มกับเครื่องแกงเหลืองที่ประกอบด้วยพริกแกงเหลือง ขมิ้น หอมแดง กระเทียม กะปิ และน้ำปลา ปรุงรสด้วยน้ำมะนาวหรือน้ำมะขามเปียกให้เปรี้ยวเล็กน้อย แกงเหลืองต้นคูนมีรสชาติจัดจ้าน ทั้งเผ็ด เปรี้ยว เค็ม หอมกลิ่นเครื่องแกง ในปัจจุบัน แกงเหลืองต้นคูนเริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากขึ้นในภาคอื่นๆ ของประเทศไทย ร้านอาหารไทยหลายแห่งจึงเริ่มนำเมนูนี้มาเสิร์ฟให้กับลูกค้า แกงเหลืองต้นคูนจึงเป็นอาหารไทยโบราณที่ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน

เนื้อเค็มต้มกะทิ

เนื้อเค็มต้มกะทิ

เนื้อเค็มต้มกะทิเป็นเมนู อาหารไทยโบราณ ชาววัง ที่หาทานยากในปัจจุบัน มักใช้เนื้อแดดเดียวหรือเนื้อเค็มมาต้มกับน้ำกะทิจนเข้าเนื้อและเปื่อยนุ่ม ปรุงให้มีรสออกเปรี้ยว เค็มและหวาน ใส่ตะไคร้ ใบมะกรูด หอมแดงซอยหรือพริกขี้หนูเพิ่มความจัดจ้าน เนื้อเค็มต้มกะทิเป็นเมนูอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างมากในสมัยโบราณ เนื่องจากเป็นเมนูที่รสชาติดี เก็บไว้ได้นาน และเหมาะสำหรับการเดินทางไกล นิยมทำรับประทานเป็นอาหารกลางวันหรืออาหารเย็น บางครั้งก็นำไปเป็นอาหารว่างหรือกับแกล้มก็ได้ ในปัจจุบัน เนื้อเค็มต้มกะทิ อาหารชาววัง ยังคงเป็นเมนูอาหารที่ได้รับความนิยมอยู่บ้าง แต่หารับประทานได้ยาก เนื่องจากเป็นเมนูที่ต้องใช้เนื้อเค็มหรือเนื้อแดดเดียว ซึ่งต้องใช้เวลาในการเตรียมนาน นอกจากนี้ เนื้อเค็มต้มกะทิยังมีรสชาติที่ค่อนข้างจัดจ้าน จึงอาจไม่ถูกปากกับบางคน อย่างไรก็ตาม เนื้อเค็มต้มกะทิก็ยังคงเป็นเมนูอาหารไทยโบราณที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ เนื่องจากเป็นเมนูที่มีรสชาติอร่อยและมีความโดดเด่นเฉพาะตัว

ยำทวาย

ยำทวาย

ยำทวาย เป็น อาหารชาววังโบราณ ที่ปัจจุบันหาทานได้ยาก สันนิษฐานว่าน่าจะมีต้นกำเนิดมาจากทางภาคเหนือของประเทศไทย คำว่า “ทวาย” หมายถึง เมืองทวาย ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศไทยมาช้านาน ยำทวายเป็นยำที่มีรสชาติออกเปรี้ยวหวาน ไม่จัดจ้าน ประกอบด้วยผักสดลวกหลายชนิด เช่น ผักบุ้ง ถั่วพู ถั่วงอก มะเขือยาว หัวปลี และพริกหยวก ราดด้วยน้ำยำที่มีส่วนผสมของพริกแกงเผ็ด น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา ในปัจจุบัน ยำทวายเป็นอาหารไทยโบราณที่หาทานได้ยาก มีร้านอาหารบางแห่งที่ยังคงให้บริการยำทวาย แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นร้านอาหารที่เน้น อาหารไทยโบราณ

ข้าวกระยาคู

ข้าวกระยาคู

ข้าวกระยาคู เป็น เมนูของหวานไทยโบราณ ชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกับข้าวต้ม แต่ทำจากข้าวอ่อนที่ยังเป็นระยะน้ำนมและเปลือกมีสีเขียวอ่อน คั้นออกมาเป็นน้ำ หรือใช้แป้งข้าวเจ้าเคี่ยวกับน้ำใบเตยคั้นสดจนเนื้อเหนียวข้นสีเขียวอ่อน ราดด้วยหัวกะทิรสเค็มเล็กน้อย และใส่เครื่องธัญพืชหรือมะพร้าวอ่อนเพิ่มได้ ข้าวกระยาคูเป็นขนมไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล พบหลักฐานในพระไตรปิฎกว่า พราหมณ์คนหนึ่งนำข้าวกระยาคูมาถวายพระพุทธเจ้า ผลบุญจึงส่งให้เป็นผู้บรรลุธรรม นอกจากนี้ ข้าวกระยาคูยังนิยมทำถวายพระสงฆ์ในช่วงเทศกาลสำคัญทางศาสนา เช่น เข้าพรรษา ออกพรรษา เป็นต้น

ปลาแห้งแตงโม

ปลาแห้งแตงโม

ปลาแห้งแตงโม เป็น ของกินเล่นโบราณ ที่ได้รับความนิยมมากในสมัยก่อน เมนูนี้ทำจากปลาช่อนแดดเดียวที่นำมาโขลกจนละเอียด แล้วคลุกกับน้ำตาลทรายและหอมเจียว โรยลงบนแตงโมหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ รสชาติของปลาแห้งที่เค็มตัดกับแตงโมที่หวานฉ่ำ เข้ากันได้อย่างลงตัว เมนูนี้นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังช่วยดับร้อนได้ดีอีกด้วย ปลาแห้งแตงโม มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ปรากฏชื่อครั้งแรกในจดหมายเหตุความทรงจำ กรมหลวงนรินทรเทวี หรือเจ้าครอกวัดโพธิ์ เมื่อครั้งมีการจัดเตรียมงานพระราชพิธีสมโภชน์พระแก้วมรกต และเฉลิมฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในปีพุทธศักราช 2352 เมนูนี้เคยเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ชนชั้นสูงในสมัยนั้น และสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน

ติดตามข่าวสาร : https://Clubthaifood.com

อ่านบทความเพิ่มเติม :